หลักฐานบันทึกไว้แบบเป็นลายลักษณ์อักษร พอจะมองได้ว่า ข้าวแช่ นั้นเข้าสู่ราชสำนักไทยตั้งแต่สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น โดยอ้างอิงจากความตอนหนึ่งใน “รำพันพิลาป” ของสุนทรภู่ ซึ่งแต่งไว้ในปี 2385 ในช่วงรัชสมัยรัชกาลที่ 3 ซึ่งเป็นช่วงรัชกาลเดียวกัน พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าให้จารึกเกี่ยวกับตำนานข้าวแช่ไว้บนแผ่นศิลา 7 แผ่นติดไว้ในศาลาล้อมรอบพระมณฑปวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม
ในขณะที่ข้าวแช่เมืองเพชรบุรีมีตำนานว่า ตำรับข้าวแช่เมืองเพชรนั้น
มาพร้อมกับเจ้าจอมมารดาซ่อนกลิ่นพระสนมเอกในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ครั้งเสด็จฯไปประทับเขาวัง เจ้าจอมมารดาท่านนี้เป็นธิดาของเจ้าพระยาดำรงราชพลขันธ์ (จุ้ย คชเสนีย์) เชื้อสายมอญเจ้าเมืองนครเขื่อนขันธ์ ซึ่งปัจจุบันคืออำเภอพระประแดงนั่นเอง
เครื่องข้าวแช่ไทยชาววังประกอบไปด้วย 9 สิ่ง คือ
ลูกกะปิ หอมบรรจุไส้ทอด หัวผักกาดดองผัดหวาน พริกหยวกบรรจุไส้ทอดห่อหรุ่มไข่ทอดแบบรังบวบ ปลายี่สนผัดหวาน เนื้อเค็มฝอยผัดหวาน ผักผลไม้สำหรับเคียงสำรับ ได้แก่ กระชายสดแกะสลักเป็นรูปดอกจำปี มะม่วงดิบ แตงกวา ต้นหอมสด พริกชี้ฟ้าแกะสลัก ข้าวหุงสุก และน้ำลอยดอกไม้
ทำไมต้อง “ช้อนช้าวแช่”
โดยทั่วไปข้าวแช่ไทยจะจัดเครื่องใส่ในจานเชิงลงสำรับแล้วตักข้าวแบ่งเสิร์ฟใส่ถ้วยขนาดย่อมพร้อมน้ำลอยดอกไม้ช้อนข้าวแช่ถูกประดิษฐ์ขึ้นให้มีความสวยงามและตอบโจทย์การใช้งาน คือ ทำจากทองเหลืองเนื้อหนา มีความกว้างของช้อนเหมือนช้อนรับประทานข้าว ลับขอบช้อนให้มนเพื่อสามารถตักข้าวและน้ำลอยดอกไม้ขึ้นมารับประทานได้สะดวกและไม่บาดปาก ด้ามช้อนออกแบบให้สั้นตีให้แบนดัดให้โค้งงอนเพื่อให้วางพาดบนถ้วยข้าวแช่ได้อย่างสวยงามโดยไม่เกะกะ และสามารถจับได้ถนัดมือ ซึ่งตัวด้ามอาจมีการตอกหรือดุนลายเพื่อความสวยงาม
เคล็ดลับความหอมของน้ำลอยดอกไม้
น้ำลอยดอกไม้ต้องมีกลิ่นหอมดอกไม้มากกว่าควันเทียนดอกไม้ที่ใช้ต้องเก็บมาแล้วนำมาลอยทันที โดยควรเก็บช่วงเช้าก่อนเก้าโมง หรือช่วงเย็นประมาณหนึ่งทุ่ม และอบในหม้อดินเผา เพราะจะดูดกลิ่นหอมของดอกไม้ไว้ได้มากที่สุด